ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร

ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร

 

กรณีพระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร แห่งวัดพระธาตุดอนเรือง เมืองพง รัฐฉาน ประเทศพม่า ได้มาทำพิธีเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน เพื่อเปิดทางช่วยเหลือเด็กๆ และโค้ช 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยหลังทำพิธี พระครูบาบุญชุ่ม ได้เปิดเผยว่า อีก 1-2 วันได้ออกมาแน่นั้น

สำหรับประวัติของพระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโรนั้น  เว็บไซต์พุทธะ ได้เผยแพร่ประวัติ “ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร” ที่นำมาจากหนังสือ “๓๐ พรรษาในร่มเงาพระพุทธศาสนา ของพระครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร” ใจความว่า

ชาติภูมิ

บิดา-มารดา : พ่อคำหล้า แม่แสงหล้า ทาแกง
นามเดิม : เด็กชายบุญชุ่ม ทาแกง
วันเดือนปี เกิด : วันอังคารที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เวลา ๐๙.๐๐ น. ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๔
สถานที่เกิด : หมู่บ้านแม่คำหนองบัว ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
พี่น้อง
๑. พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร
๒. พระครูบาวีนัส กตปุญโญ
๓. เด็กหญิงเอื้องฟ้า (เสียชีวิต)
๔. นางอ้อมใจ ปูอุตรี สมรสกับนายประทีบ ปูอุตรี

 

ชีวิตในวัยเยาว์

คุณแม่แสงหล้าได้แต่งงานกับคุณพ่อคำหล้า ก่อนตั้งครรภ์พระครูบาเจ้าฯ คุณแม่แสงหล้านิมิตฝันว่า “ได้ขึ้นภูเขาไปไหว้พระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่เหลืองอร่ามงามมากนัก” แล้วสะดุ้งตื่นอยู่มาไม่นานนัก คุณแม่แสงหล้าเริ่มตั้งครรภ์ พอตั้งครรภ์ได้ครบ ๑๐ เดือน ก็ได้ให้กำเนิดเด็กชายบุญชุ่ม ซึ่งเป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู จากนั้นก็มีเหตุแยกจากพ่อคำหล้ากลับไปดูแลแม่อุ้ยนางหลวงที่เคยอยู่ด้วยกัน เพราะไม่มีใครดูแล ส่วนพ่อคำหล้าก็กลับไปดูแลแม่หลวงอุ่น จึงเป็นเหตุให้ต้องแยกกันอยู่ เมื่ออายุครบ ๖ เดือน พ่อคำหล้าได้มาเยี่ยม ซื้อเสื้อผ้ามาฝากลูกด้วย แต่กลับไปไม่นาน คุณพ่อก็ได้ล้มป่วยด้วยโรคบิดกระทันหัน ถึงแก่กรรม เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี เท่านั้น

เมื่อพระครูบาฯ อายุได้ ๔ ขวบ แม่อุ้ยนางหลวงและคุณแม่แสงหล้าได้ย้ายจากบ้านด้ายไปอยู่บ้านทาดอนชัย ตำบลป่าสักอำเภอสันกำแพง เชียงใหม่ และสมรสใหม่กับนายสม ชัยวงศ์คำ มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า เด็กชายวีนัส (แดง) และบุตรหญิง ๒ คน คือเด็กหญิงเอื้องฟ้า ถูกสุนัขกัดตาย เมื่ออายุได้ ๔ ขวบ และเด็กหญิงอ้อมใจ เมื่อแม่อุ้ยนางหลวงได้ถึงแก่กรรมไป ครอบครัวของเด็กชายบุญชุ่ม ยิ่งลำบากมากกว่าเก่า บ้านก็ถูกรื้อขาย แล้วอพยพไปอยู่เชิงดอยม่อนเรียบ ทำกระต๊อบน้อยอยู่กัน ๔-๕ คน แม่ลูก ฝาเรือนก็ไม่มี เวลาฝนตกหลังคาก็รั่ว เอามุ้งขาดเป็นเรือน ผ้าห่มก็มีผืนเดียวเวลาหน้าหนาวก็หนาวเหน็บ ต้องนอนผิงไฟเหมือนสุนัขผ้านุ่งผ้าห่มเสื้อกางเกงก็มีชุดเดียวเวลาไป โรงเรียนก็นุ่งกางเกงขาสั้นไป เรื่องอาหารก็ตามมีตามได้ เก็บกินเต้าแตง เผือกมัน ผักผลไม้กิน เพื่อยังชีพไปวันๆ ถึงแม้ชีวิตท่านจะลำบากเพียงใดก็ไม่เคยเป็นเด็กเกเร ลักเล็กขโมยน้อยเด็ดขาย แม่แสงหล้าจะสอนว่า “ห้ามลักขโมยของคนอื่นมาโดยเด็ดขาด” วันหน้าถ้ามีบุญก็จะสบายได้แล

เห็นทุกข์ก็เห็นธรรม

ชีวิตความเป็นอยู่ของพระครูบาเจ้าฯ ช่างน่าสังเวช ทุกข์ลำบากเหมือนกับว่า ในโลกนี้บ่มีใครเท่าเทียมได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกข์และสุขก็เป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ทนลำบากไม่ใช่ตัวตนของเราบังคับไม่ได้ พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว พึงจะเบื่อหน่ายการเกิด การตาย ทุกข์ในวัฏฏะสงสารพึงสละละวางความยึดมั่น ถือมั่น พึงคลาย ความอาลัยในตัณหาตัวนำมาเกิด พึงละอวิชชา ความไม่รู้นำมาเกิดภพชาติ ชรามรณะทุกข์ เวียนว่าย ตายเกิด หาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายบ่มิได้พึงสังเวชเบื่อหน่ายโลกาอามิสทั้งปวงพึง มีจิตยินดีในพระนิพพานเป็นอารมณ์ รีบขวนขวายหาทางดับทุกข์ ความเกิดแก่เจ็บตาย จงสร้างแต่กุศลบุญทาน รักษาศีลภาวนา อย่าขาด อย่าประมาทในชีวิตสังขารไม่ยั่งยืน ไม่รู้ว่าเราจะตายวันใด ที่ไหน เวลาใด ใครไม่สามารถกำหนดได้ ขอให้ทุกคน เราท่านทั้งหลายจงทำดีให้หนีวัฏฏะสงสารไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเพราะการเกิด บ่อยๆ เป็นทุกข์ดังนี้แล

 

อุปนิสัยฝักใฝ่ในธรรมของพระครูบาเจ้าฯ

เนื่องจากคุณแม่แสงหล้าเป็นคนมีนิสัยใจดีมีเมตตาเผื่อแผ่โอบอ้อมอารีลูกเต้า ญาติมิตรพี่ๆ น้องๆ เป็นผู้รู้จักบุญคุณเสมอชอบทำบุญไปวัดไม่ขาด ถึงแม้ว่าความเป็นอยู่จะลำบากยากจนขนาดไหน พอถึงวันพระแม่จะจัดหาอาหารตามมีตามได้ไปใส่บาตรทุกครั้ง ก่อนที่คุณยายของพระครูบาเจ้าฯ คือยายแม่อุ้ยนางหลวง ยังไม่เสียชีวิต ดังนั้นเมื่อพระครูบาเจ้าฯ อายุได้ ๔-๕ ปี ก็พาไปนอนวัดปฏิบัติธรรมด้วย ยายสอนว่าให้ไหว้พระสวดมนต์ และภาวนาพุทโธฯ ตั้งแต่เล็กได้คลุกคลีอยู่กับวัดตั้งแต่ตัวน้อยๆ เวลาเข้าโรงเรียนฯ ก็ติดกับวัดเวลาว่างก็ชอบเขาไปไหว้พระในวิหาร บางทีก็ภาวนาตามร่มไม้ ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเท่าที่ท่านจำความได้ พระครูบาเจ้าฯ ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์มาตั้งแต่เกิด ถ้าจำเป็นต้องท่านก็เอาคำข้าวจิ้มแต่น้ำแกง บางทีก็ทานข้าวเปล่าๆ บางทีก็ทานกับน้ำอ้อย บางทีก็ทานข้าวกับกล้วยไปวันๆ คุณแม่แสงหล้ารักเอ็นดูพระครูบาเจ้าฯ เป็นอย่างยิ่งไม่เคยด่าเคยตีด้วยไม้หรือฝ่ามือแม่แต่ครั้งเดียวในชีวิต

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าชีวิตในวัยเยาว์ของพระครูบาเจ้าฯ จะทุกข์ยากลำบาก แต่ท่านก็เป็นเสมือนเพชรในตม คือจิตใจของท่านที่ได้รับการปลูกฝังคุณงามความดีอยู่เสมอ ทั้งจากคุณยายและจากคุณแม่ จากการคลุกคลีอยู่กับวัด กับพระสงฆ์ จึงทำให้จิตใจของเด็กน้อยรู้สึกผูกพันกับบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

 

สามเณรน้อยใจสิงห์

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้เข้ามาเป็นเด็กวัด โดยมีพ่อลุงทาเอาไปฝากกับเจ้าอธิการสิน จิรธัมโม วัดบ้านด้ายตอนท่านอายุได้ ๑๑ ปี หลังจากเป็นเด็กวัดได้ 3 ปีจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ท่านชอบสงบอยากบวชตั้งแต่อายุ ๔-๕ ปีแล้ว ในสมัยเป็นเด็กนักเรียนชอบนั่งสมาธิภาวนาไม่สุงสิงกับใคร เวลาว่างก็เดินจงกรมที่สนามหญ้าโรงเรียน จนเพื่อนฝูงว่าท่านเป็นบ้า ใครจะว่าอย่างไรไม่สนใจ ท่านถือว่าได้ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า

ใน พ.ศ. ๒๕๑๙ ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร ได้บวชเรียนตามปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่เยาว์วัย ถึงเวลาท่านก็กำหนดขอขมาลุงและป้าแทนพ่อแม่ แล้วจึงอาบน้ำและนุ่งผ้าขาวในคืนหนึ่ง พอใกล้รุ่งท่านนิมิตเห็นหลวงพ่อปู่องค์หนึ่งแก่ๆ ผมหงอกสักไม้เท้าจากต้นโพธิ์ใหญ่ที่ในวัดเดินเข้ามาห่านแล้วสอนธรรม กัมมัฏฐานให้ภาวนาว่า พุทโธๆและบอกว่าให้หมั่นภาวนาในภายหน้าจะได้เป็นครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งของ คนทั่วไปและมนุษย์โลกทั้งหลาย แล้วท่านครูบาเฒ่าก็เดินลับหายไป พอสว่างก็ได้ไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีบุญยืน ตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีพระครูหิรัญเขตคณารักษ์ วัดศรีบุญเรือง อำเภอแม่จัน เจ้าคณะอำเภอเชียงแสนเป็นองค์พระอุปัชฌาย์ บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๙ ตรงกับเดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ วันพฤหัสฯ เวลา ๙.๓๙ น. ได้บวชเสร็จเรียบร้อย มีสามเณรที่บรรพชารวมกันทั้งตำบลสามสิบสองรูป ปัจจุบันเหลือพระครูบาฯเจ้าองค์เดียว

 

อารมณ์กรรมฐานโดยพิจารณาอัฐิ

มีหลวงพ่อธุดงค์องค์หนึ่งอยู่อำเภอจุน จ.พะเยา ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมามอบให้พระครูบาเจ้าฯ เมื่อท่านได้รับพระบรมสารีริกธาตุมาแล้ว ได้น้อมจิตพิจารณาว่า กระดูกของสัตว์โลกทั้งหลายนั้น นับตั้งแต่เวียนว่าย ตายเกิด ในวัฏฏสงสารนี้ หากนำมากองรวมกัน คงกองใหญ่เป็นภูเขาทีเดียว หากแยกกันก็กระจัดกระจายอย่างที่เห็น กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง กระดูกเข่าไปอีกทางหนึ่ง กระดูกข้อเท้าไปทางอื่น กระดูกข้อนิ้วเท้าก็กระจัดกระจายไปทางอื่น กระดูกทุกส่วนแยกออกจากกันไปคนละที่คนละแห่ง แล้วก็ผุพังกลายเป็นดินเป็นจุลไป ท่านก็น้อมพิจารณาเข้ามาในกายแห่งตนว่า “เอวงฺธมฺโม เอวงฺอนตฺติโต”

การสร้างและบูรณะพระธาตุต่างๆ

ท่านจึงไปจำศีลภาวนาแล้วสร้างพระธาตุขึ้น ชื่อว่าพระธาตุงำเมือง ดอยท้าววัง นั่งเรือไปๆมาๆอยู่ที่เมืองพงนี้เหมือนบ้านเกิด คิดว่าในอดีตชาติคงเคยสร้างบารมีในที่นี้ หลังจากได้สร้าง พระธาตุบ้านป่าข่า พระธาตุงำเมืองเสร็จแล้ว ท่านได้เดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าไปเมืองยอง ไปกราบพระธาตุหลวงจอมยอง กลับมาป่วยเป็นไข้มาเลเรียเกือบตาย จากนั้นท่านได้มาเข้าพรรษาที่วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ โดยมีหลวงปู่ครูบาเจ้าธรรมชัยเป็นองค์รักษาไข้ คุณแม่ก็มาเยี่ยมเยียนตลอดโดยให้น้องชายบวชเณรอยู่ด้วย ในพรรษาที่๕ ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดจอมแจ้ง บ้านกาดขี้เหล็ก ต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ โดยมีคุณแม่ย่าคำแปง คุณธนิต นิ่มพันธ์ คุณตุ๊ คุณสมศักดิ์ คุณอุไร และเจ้าพ่อน้อยโสภณ ณ เชียงใหม่ และญาติโยมหลายๆคนเป็นผู้อุปัฏฐากดูแล ในพรรษาโยมแม่ก็มาเยี่ยมถือศีลด้วยบางครั้งบางคราว ท่านไปสร้าง พระธาตุจอมศรีดับเภมุงเมือง ต.เมืองพง พม่า และมาสร้างวัดพระเจ้าล้านทอง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ คุณแม่ก็ตามไปเยี่ยมร่วมทำบุญทุกที่ พรรษานี้ท่านอยากมาจำพรรษาที่เมืองพง แม่ย่าคำแปงให้จับฉลาก ๒-๓ ครั้ง ก็จับได้ที่วัดจอมแจ้งที่เดิม ท่านจึงได้มาจำพรรษาที่วัดจอมแจ้งอีกในปีนี้ ท่านมีความสุขอิ่มเอมในพระธรรม อยู่กุฏิวิเวกองค์เดียว ได้อารมณ์กัมมัฏฐานดีมาก เดินจงกรมก็สบาย มีสมาธิตั้งมั่น

 

แสวงบุญ ณ ประเทศอินเดีย

ในพรรษาที่ ๕ นี้ ท่านได้เดินทางไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดีย ได้นำคณะศรัทธา ญาติโยมไปกราบสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงธรรมจักร สถานที่ปรินิพพาน และสถานที่สำคัญๆที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธบิดา รู้สึกซาบซึ้งมาก จากนั้นได้ไปจาริกแสวงบุญ ณ ประเทศศรีลังกา มีพระธาตุเขี้ยวแก้วและต้นศรีมหาโพธิ์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนา เป็นอย่างยิ่ง โดยมีโยมสุพิศ แม้นมนตรี เป็นผู้บริจาคเงินค่าเครื่องบินให้ ขออนุโมทนาบุญด้วย ท่านได้กลับมาเมืองพงอีกได้สร้าง พระธาตุดอกคำแก้ว แล้วไปเมืองยองอีกครั้งที่สอง ได้ไปสร้างพระธาตุจอมแจ้งเมืองยอง กลับมาสร้างพระธาตุจอมสวรรค์บ้านโป่งเมืองพงอีก

ต่อมา เข้าพรรษาที่๗ ที่วัดเมืองหนองลิ่มคำป่าหมาหน่อบนเกาะทะเลสาบ โดยมีพ่อแหนานเสาแม่นางจันทร์ฟองเป็นผู้อุปัฏฐาก ในพรรษาท่านได้ป่วยเป็นไข้ป่าและทางเดินอาหารได้ลาพรรษามารักษาที่ตึกสงฆ์ โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ ออกพรรษาแล้วท่านได้ไปย่างกุ้งมันตะเล ประเทศพม่า ไปกราบพระธาตุชเวดากอง จากนั้นกลับมาเมืองพง ได้มาสร้างวิหารสร้างพระเจ้านอน

วัดพระนอน เมืองพง

เข้าพรรษาที่ ๘ วัดพระนอน เมืองพง (ปัจจุบันชื่อวัดจอมศรีดับเพมุงเมือง )ออกพรรษาแล้วได้ทำบุญฉลองวัดวิหารพระเจ้านอนเสร็จแล้วได้รับนิมนต์โดยคุณ แม่ชรัช คุณหญิงกรรนิฐา สายวงศ์ ได้นิมนต์ไปประเทศเนปาล เที่ยวภูเขาหิมาลัยนำพระพุทธรูปไปถวายที่โปรกขลาเนปาล พรรษาที่๙ได้กลับมาจำอยู่ที่วัดนอนเมืองพงอีก ได้ปฏิบัติธรรมมีความสุขที่สุดและได้เดินทางไปๆมาๆที่พระธาตุดอนเรือง ท่านมีความผูกพันกับพระธาตุดอนเรืองที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีมานานนับ ตั้งแต่อายุ ๑๒-๑๓ ปีที่ได้เข้ามาทำกุศลสร้างบุญบารมีในเมืองพง เคยเดินเท้าเปล่ามากราบพักถือศีลภาวนาที่นี้ตลอด ก่อนจะมาพระธาตุดอนเรือง ซึ่งไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อ แค่ได้นิมิตฝันเห็นเจดีย์น้อยตั้งอยู่บนเขาเตี้ยๆ ใกล้แม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ได้มากราบแล้วมีความสุขที่สุด ฝันว่าเราได้ไปอยู่ที่นั้นไม่นานนักจึงได้มากราบจริงๆ เหมือนในนิมิตทุกอย่าง จนกระทั่งถึงพ.ศ. ๒๕๒๘ ท่านจึงบอกศรัทธาญาติโยมว่าจะสร้างพระวิหารครอบพระธาตุดอนเรือง เมื่อลุถึงวันเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันพุธ เป็นวันวิสาขบูชาได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ สร้างพระวิหาร ท่านยินดีที่สุดในปีนี้ อีกทั้งได้ไปศรีลังกาพร้อมหลวงปู่ครูบาธรรมชัย

ในพรรษาที่ ๙ นี้ ท่านอาพาธเป็นไข้มาเลเรียอีก ได้รักษากินยาและทำสมาธิรักษาด้วยจึงหายดี ออกพรรษาแล้วได้ไปแสวงบุญที่เมืองจีน ปักกิ่ง ได้กราบพระธาตุเขี้ยวแก้ว และพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองจีน

 

จาริกธุดงค์ ณ ประเทศเนปาล

ในพรรษาที่๑๐ พระครูบาฯ มีความตั้งใจอย่างยิ่งจะไปจำพรรษาที่ประเทศเนปาลเชิงเขาหิมาลัย โยมมณีรัตน์ โยมพี่เม้ง (วินัย) ได้นิมนต์หลวงปู่โง่น โสรโย ไปส่งท่านด้วย ได้ไปอาศัยอยู่ที่วัดอานันทกุฏิวิหารกาฐมาณฑุ โดยคุณธรรมมา อารีราชได้ไปฝากให้ ท่านได้พบหลวงปู่โลกเทพอุดรที่เนปาล โดยพระครูบาฯนับถือหลวงปู่โลกเทพอุดรเป็นอาจารย์ใหญ่ได้พบที่ข้างกำแพง พระราชวังเก่า หนุมานโดก้ากาฐมาณฑุ เป็นวังเก่าของกษัตริย์เนปาล เล่ากันว่ามีรางน้ำเป็นหิน และมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่ใครอ่านจบจะมีน้ำทิพย์ไหลออกมา ขณะที่พระครูบาฯ กำลังอ่านอักขระอยู่นั้นปรากฏว่ามีพระเหมือนโยคีกระโดดออกข้างกำแพงวิ่งมาหา ท่าน มีผ้าโพกหัวเกล้าผม หนวดเครายาวรุงรังวิ่งมาจับมือหลวงปู่ นัยน์ตาใสวาววับดั่งแก้วมรกตจึงขอถ่ายรูปไว้ เอาเงินถวายให้ก็ไม่รับ ลักษณะไม่เหมือนโยคีทั่วไป จากนั้นก็มีหมู่นกพิราบหมู่ใหญ่บินวนเวียนมาตรงหน้าหลวงปู่เทพอุดร ไม่นานนักท่านทั้งสองก็หายไปพร้อมกับหมู่นกพิราบ จะพูดมากไปก็กลัวเกินความจริง อย่าเพิ่งเชื่อทีเดียว ให้เชื่อผลบุญกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์สอน

ทุกคนกลับกันหมดเหลือแต่ท่านองค์เดียวที่ได้พำนักอยู่กับพระชาวเนปาล มีหลวงพ่ออมฤตานันท์ เป็นเจ้าอาวาสวัดอานันทกุฏิวิหาร มีหลวงพ่อมหากุมารกัสปะและหลวงพ่อมหานามะ มีพระพม่าองค์หนึ่งชื่อ อินทสาระ สามเณรอินเดียชื่อ พุทธวังสะ และท่านไมตรี ทานแต่ผลไม้มันอาลู (มันฝรั่ง) แตงกวา และกล้วยหอมเป็นอาหาร ในพรรษานี้ พระครูบาฯ มีความสุขกับธรรมชาติที่สุด ตอนเย็นสวดมนต์ภาวนาเดินจงกรม แล้วก็เข้าห้องนั่งภาวนาสมาธิต่อ บางทีถึงสว่างก็มี สว่างมาแล้วท่านก็มาทำความสะอดาลานเจดีย์กุฏิวิหาร ศาลาหอฉัน ทำความสะอาดองค์เดียว ถ้าวันไหนมันอาลูหมดก็ลงไปซื้อในตลาด บางวันอากาศดีเสร็จภารกิจ ท่านก็ขึ้นไปกราบเจดีย์สวยัมภูองค์ใหญ่ ตั้งบนยอดเขาท่านก็ซื้อถั่วลิสงเลี้ยงลิง บางทีก็เอากล้วย ข้าวสารเลี้ยง ลิงที่นี่ตัวใหญ่หางยาวมีหลายพันตัวไม่กลัวคน ท่านได้พำนักภาวนาที่นี่ได้อารมณ์กรรมฐานดี สมาธิตั้งมั่นจนกระทั่งออกพรรษา โยมหมอกรวยศรีและแม่ออกสุนิสา ดร.อุดม แม่วิภาวรรณและโยมหมอยรรยงค์ แม่หมอภิราก็ได้มาเยี่ยม

จาริกธุดงค์เข้าป่าหิมพานต์

ด้วยอุปนิสัยของพระครูบาฯ ที่รักธรรมชาติ ชอบอยู่รูปเดียว ปลีกวิเวก เมื่อเสร็จภารกิจต่างๆ ท่านจึงดำริว่า “เราควรออกธุดงค์เข้าสู่ป่าหิมพานต์ตามรอยพระเวสสันดร” ออกพรรษาแล้วท่านได้อำลาเจ้าอาวาสจะเดินทางเข้าป่าหิมพานต์ โดยมีโยมพี่ดร.อุดม ใจดี ได้มานำทางไปส่งที่เมืองโปกขะรา (Pokhara) แปลว่า โปกขรณีอยู่เชิงเขาหิมพานต์ ตรงยอดเขาหางปลาชาวเนปาลเรียกว่ามาชาปุชะเร (Machapuchare) และยอดเขาอานนาปูระนะ (Annapurna) ซึ่งเป็นหลังคาโลกสูงที่สุดเป็นบริวารของภูเขาพระสุเมรุราช ได้ขึ้นรถผ่านแม่น้ำคงคาตรีศุลิ (Trisuli) และภูเขาป่าไม้มีความสุขเพลิดเพลินที่สุด ได้มาถึงเมืองโปกขราตอนเย็น พักอยู่ที่วัดแม่ชี ๓ คืน แล้วจึงเดินทางด้วยเท้าเปล่าต่อไปในป่า ส่วนพี่ ดร.อุดม อยู่ด้วยคืนเดียวก็กลับไปอินเดีย

ท่านเดินทางเข้าป่า มีพระหลวงปู่แก่องค์หนึ่ง ชื่อสุภัทรภิกขุนำทาง และชาวบ้านเนปาลอีกคนหนึ่งชื่อว่า โอปกาศและมีผู้ชายหนุ่มเนปาลอีก ๒ คนเดินนำทาง พวกเขารักเคารพพระครูบาฯ มาก ช่วยกันแบกกรดและบาตรให้เดินทางเข้าป่า ผ่านแม่น้ำเย็นใสผ่านหมู่บ้านเล็กๆ เดินไปพักฉันเพลกลางทางที่บ้านหลังเล็กของชาวเนปาลผู้ใจดี แล้วเดินทางต่อไป ถึงที่วัดน้อยของท่านสุภัทรตั้งอยู่เชิงเขาในเวลาเย็น พวกที่ส่งมาก็ลากลับเหลือแต่พระครูบาฯ อยู่กับท่านหลวงปู่สุภัทร ท่านก็เข้ากุฏิหลังน้อยที่ท่านอยู่มีอีกห้องเป็นที่เก็บฟืน หลังจากไหว้พระสวดมนต์ภาวนาแล้วก็อุปฐากพระผู้เฒ่าด้วยการต้มน้ำร้อนถวาย พอรุ่งเช้าท่านก็น้ำพาเราไปบิณฑบาตรได้ข้าวมาฉันเล็กน้อย พออิ่มไปวันๆ พระครูบาฯ อยู่ที่นั้นสามคืน จึงบอกหลวงปู่สุภัทรว่า ข้าพเจ้าต้องการเดินทางเข้าป่าองค์เดียวจะไปอยู่ตามเงื้อมผา และถ้ำ ภาวนาองค์เดียว หลวงปู่สุภัทรบอกว่าลำบาก หิมะก็ตก เส้นทางก็ไม่รู้จัก อีกทั้ง สัตว์ป่า เสือ แรด งูร้ายก็มีมากอย่าไปเลย ท่านห้ามไว้เกรงว่าจะเป็นอันตราย แต่พระครูบาฯ ก็บอกว่า ข้าพเจ้าพร้อมจะสละชีวิตแล้วไม่กลัวตายขอไปจนได้ รุ่งเช้าท่านก็พาไปส่งทางบ้านราจ๊ก ไปพักฉันข้าวบ้านคนแก่หลังหนึ่งถือศาสนาพุทธรักษาศีล ๕ แล้วก็เดินทางไปส่งกลางทุ่งนา ชี้ทางให้ไปองค์เดียว เดินขึ้นเขาหิมาลัยรูปเดียว

พร้อมจะสละชีวิตไม่กลัวตาย

ท่านได้แบกกรดบาตรอัฐบริขารองค์เดียวทางเข้าป่าไม้หิมพานต์ด้วยความปีติยินดี ท่านก็บอกเทวดารักษาป่าไม้หิมพานต์ให้นำทางรักษาท่านด้วย โดยตั้งสัจจอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้ามาที่นี้ก็เพื่อปฏิบัติสมณะธรรมพรหมจรรย์สร้างโพธิสัตว์บารมี หวังได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ได้โปรดสัตว์โลกได้ข้ามจากวัฏสงสารให้ถึงพระนิพพาน” ท่านได้เดินขึ้นเขาลงห้วย บางทีก็มีทางลอดไปเป็นอุโมงค์บางทีก็ข้ามแม่น้ำคงคาไปตามทางชาวป่าชาวเขาเนปาล เดินไปตัดไม้ไปบางทีก็ปีนขึ้นหน้าผาสูงชันมาก บางทีก็ห้อยโหนเชือกเครือเขาข้ามแม่น้ำ เส้นทางลำบาก บางทีก็ไม่มีหนทางลัด ตามป่าแม่น้ำไปตามทางเดิน ท่านได้เห็นสัตว์ป่าทั้งหลายเป็นต้นว่าไก่ป่าร้องขานขันนกยูง และหงส์ป่า ได้เห็นลิงและกระต่าย ลิงลมได้ยินเสียงกวางเก้งร้องในป่าได้ยินเสียงเสือร้องทั้งกลางวันและกวางคืน เสือในป่าหิมพานต์ตัวใหญ่ ไปทางไหนเจอแต่รอยเสือใหญ่รอยเท้าเท่าถ้วยชาม ไปทางไหนเจอแต่ขี้เสือ

ท่านก็ไม่หวาดหวั่นเกรงกลัวเดินองค์เดียวเข้าป่าด้วยปณิธานอันสูงสุด เชื่อบุญกุศลยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้แผ่เมตตาแก่สัตว์ทั้งหลายดังชีวิตเรา สัตว์ร้ายก็ไม่เข้ามาทำร้ายท่านด้วยอำนาจแผ่เมตตาจิตของท่าน ถึงแม้ว่างูเขียว งูลาย ตัวน้อยตัวใหญ่มาขวางทางเดิน ท่านน้อมจิตแผ่เมตตาพวกเขาก็หลีกทางให้ทุกครั้ง ท่านเดินจากหมู่บ้านราจ๊กเป็นหมู่บ้านใหญ่หน่อย แล้วเดินเข้าไปในป่าผ่านบ้านของชาวเนปาลสองสามหลัง แล้วเดินไปอีกวันหนึ่งก็ไปถึงหมู่บ้านเล็ก ๔-๕ หลัง ชื่อว่าบ้านมะลาวดี พอไปถึงก็มืดค่ำพอดีได้เดินสำรวจดูก็เห็นบ้านชาวเขาเล็กๆ ตั้งอยู่เชิงเขาเห็นไฟริบหรี่ จึงเดินเข้าไปพอดีหิมะหมอกก็ตก จึงขอพักข้างบ้าน เขาพักกันอยู่ ๓ คนแม่ลูก ชีวิตช่างน่าสังเวชสงสารเหมือนไม่ใช่คน ที่นอนก็เอาฟางมากองแล้วนอนผิงไฟกัน ๒-๓ แม่ลูก ท่านให้ของกิน น้ำตาล ยาแก้ไข้เล็กๆ น้อยๆ เอาแบ่งให้ เขาก็ดีใจใหญ่ เช้าตรู่เขาก็ใจดีหุงข้าวใส่เนยเอามาถวายให้ ฉันเสร็จก็เดินทางเข้าป่า พอดีมีผู้ชายคนหนึ่งใจดีมาขอนำทางไปส่งเงื้อมผาโควางโกโอฬารหรือโคมุข เป็นต้นแม่น้ำคงคาที่ไหลผ่านเมืองพาราณสีนั้น การสื่อสารก็พูดภาษาเนปาลได้บ้างเล็กน้อย พอรู้เรื่องกัน รู้แต่ไปไหนสบายดีหรือ ทานข้าวหรือยัง เขาก็ใจดีไปส่งถึงเงื้อมถ้ำ ท่านก็ให้หมวกของกินหยูกยาเล็กๆ น้อยๆ เขาก็กลับบ้านลงเขาไป

พระครูบาฯ ได้ไปอยู่ในป่าองค์เดียวภาวนาทำสมาธิแผ่เมตตาอยู่ที่นั้นได้ ๔ คืน ก็เดินทางต่อมุ่งหน้าเข้าป่าลึกไปอีกวันหนึ่ง ไม่มีบ้านคนสักหลัง ทางไปก็ลำบากกว่าเก่า ได้ห้อยโหนกิ่งไม้ขึ้นหน้าผาชันสาวเครือเชือก บางทีก็หลุดตกกลิ้งไปทั้งคนทั้งบาตรอัฏฐะบริขาร กรดกลิ้งตกไปเป็นสามสิบวา ตั้งสติใหม่ยืนขึ้นจนได้ แต่ก็โชคดีไม่เจ็บที่ไหนนึกดูก็น่าสังเวชชีวิตว่าการมาปฏิบัติธรรมนี้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ โอ้หนอเราได้มาป่าหิมพานต์องค์เดียวเหมือนฝัน ท่านเดินต่อไปก็เจอรอยหมูป่าและรอยเสือเดินนำหน้าเราไปใหม่ๆ ท่านก็ไม่กลัวแข็งใจเดินต่อไปอีกวันหนึ่ง ไปเจอทางดีหน่อยตรงที่นี่แล ท่านก็สันนิษฐานว่าเป็นภูเขาวงกตอันพราหมณ์ชูชกไปหลงเพราะว่าเห็นเขาสลับซับซ้อนกัน ถึงเดินไปก็หลงทางแน่ๆ ไม่รู้ว่าจไปทะลุเมืองไหน จะทะลุเมืองทิเบตหรือเนปาลก็ไม่รู้ เพราะตรงข้ามเขาไปเป็นเขตประเทศธิเบตแล้ว ท่านได้พักผ่อนภาวนาอยู่ที่นั่นซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำคงคา ข้างบนเขามีน้ำตกใหญ่สูงเป็น ๑๐ กิโลฯ มีแม่น้ำไฟลผ่านที่นั่นหลายสายเป็นทุ่งหญ้ากว้าง พวกสัตว์ป่ากวางเก้งลงเล่นกินน้ำได้ ยินเสียงนกยูงทองร้องขานขัน ไก่ป่า นกนานาชนิด ต้นไม้ที่นี่แปลก ลำต้นใหญ่สูงแลดูงามเหมือนคนปลูกไว้ตั้งต้นเป็นกลุ่มๆ มีดอกสีกลิ่นหอมต่างๆ นานา และผักกาดป่างามเหมือนคนเราปลูกออกตามทุ่งหญ้า ได้เก็บมาต้มฉันจิ้มน้ำพริก และเที่ยวขุดหัวมันลูกไม้ในป่าทานมีความสุขยิ่งนัก

ชดใช้วิบากกรรมในอดีตชาติ

คืนต่อมาได้นั่งภาวนาตลอดแจ้งอีก ตอนใกล้รุ่งนิมิตว่า ชาติก่อนได้เกิดเป็นเจ้าเมืองเนปาลมีลูกเมียที่นี่ เคยบังคับทุบตีชาวบ้านให้ทำถนนสร้างปราสาท ใครไม่ทำก็จับขัง ด้วยผลกรรมนี้มาตามสนองท่านจึงรู้ว่าวันพรุ่งนี้ท่านจะโดนเขาทุบตีมัดลากลงเขา เอาท่านไปขังคุกแน่นอนท่านสังเวชในกรรมเก่าของตนทำให้น้ำตาไหลอาบหน้า แต่ก็อดทนภาวนาปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา พอรุ่งแจ้งวันนั้นท่านสวดมนต์ภาวนาเดินจงกรม แล้วก็ไม่หุงข้าวทาน มานั่งอยู่กลางแจ้ง ภาวนาพิจารณาธรรมความเกิดความดับของสังขาร มีสมาธิตั้งมั่นทั้งวัน รอดูว่าจะมีใครมาจับบ้าง วันนั้นเป็นวันชะตาขาดจริงๆลูกประคำก็ขาดวันนั้น เล็บมือออกดอกก็สุดวันนั้น ไฟจุดไต้ก็หมดวันนั้น ตอนเย็นท่านเดินจงกรมแล้วจวนพลบค่ำไม่มีไฟจุดบูชาพระมองเห็นไฟริบหรี่ของกระต๊อบน้อยแห่งชาวบ้านข้างล่างภูเขา ท่านจึงลงไปเพื่อขอจุดไฟ ตอนลงไปไม่เห็นมีใครในกระต๊อบ ก็เห็นแต่ก่อกองไฟคนไม่มีจึงเข้าไปจุดไฟ พอออกมาเห็นผู้ชายฉกรรจ์ประมาณยี่สิบคนเข้ามารัดท่าน แล้วทุบตีต่อยล้มไปตอนนั้นก็เป็นไข้ด้วย บอกเขาว่าทำไมจึงตีอาตมาๆ ขอกลับบนเขาก่อน บาตรผ้ากรดอยู่บนเขา เขาก็ไม่ยอม ได้แต่ถือกาน้ำหยาดศักดิ์สิทธิ์อันเดียวไม่ยอมปล่อยมาคิดดูก็รู้ว่ากรรมจริงๆ

เห็นนิมิตร

ที่มีนิมิตรเห็นกลางคืนนั้นตรงเหมือนกันทุกอย่าง เขาก็ซ้อมตีต่อยแล้วก็เอาเชือกมาผูกมัดไขว้หลัง แล้วก็ลากลงเขาไปเท้าก็ถีบด้วย ต้องอดทนที่สุด ไม่โกรธไม่แค้นนึกในใจว่าขอสละชีวิตบูชาพระพุทธเจ้าคงจะตายคราวนี้แน่ๆ จึงทำกัมมัฏฐานเดินภาวนาไปด้วย เขาลากตีต่อยเจ็บไปทั่วร่างกายช้ำหมดทั้งตัว ถูกลากลงมาสักพักมีผู้ชายคนหนึ่งใจดีสงสารท่าน เขาก็ปล่อยแก้เชือกข้างหลังให้ แล้วพาท่านลงไปเทวาลัยที่บวงสรวงบูชายันต์เจ้าแม่กาลี ในใจคิดว่าเขาจะเชือดคอที่นี้เป็นแน่ ครั้งแรกเขาจะฆ่าแล้วแต่พอดีมีคนหนึ่งห้ามไว้ให้เอาไปขังไว้ก่อนเขาจึงมัดจูงท่านมาที่บ้านมีคุกขังข้างในเป็นขี้ควายหมด เขาก็ไม่สงสารทุบตีแล้วก็ผลักหลังเข้าคุกเชือกผูกไชว้หลังก็ไม่แก้ออก ท่านล้มเอาหน้ามุดเข้าขี้ควาย เหมือนตายทั้งเป็นแต่ก็ตั้งสติได้พยายามลุกขึ้นลำบากมากเพราะมือก็ถูกมัดจนแน่นเลือดก็ไหล ท่านพยายามลุกได้แต่เขาก็ล็อคกุญแจ สองชั้นฝาเป็นหิน หลังคาก็มุงหินประตูไม้กระดานหนามาก ท่านจึงไหว้พระสวดมนต์ไหว้ระลึกคุณพระพุทธเจ้าทั้งหลายและสวดธรรมจักรทุกบท ในบทสุดท้ายท่านคิดถึงคุณพ่อคุณแม่แล้วสวดคาถาไหว้แม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ นโมไต่ซือ ไต่ปุย กิ่วโอ่ว กิ่วหลัง กวงไต๋เสียงถ้ำ กวนสีอิมพ่อสัก แล้วอธิษฐานว่าถ้าไม่ถึงเวลาจะตายยังจะได้โปรดสัตว์ต่อ ก็ขอให้เชือกที่ผูกแขนด้านหลังหลุด ทันใดอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเหมือนมีคนมาแก้เชือกหลุดเป็นบ่วงไว้ทันที ท่านก็สวดคาถาพระแม่กวนอิมอีก ยามนั้นพลังมหาศาลได้เกิดขึ้นจนสามารถพังประตูคุกออกแตกเป็นเสี่ยงๆประตูพังยับเยิน บานพับหลุดออกหมดตกลงไปข้างล่างคนถือปืนนอนเฝ้าประตูตกใจ พากันวิ่งมาดูท่านก็ล้วงเอาหนังสือเดินทางที่พระสังฆราชเนปาลท่านเขียนไว้ให้ ความว่า “ใครได้พบปะเณรองค์นี้มีเหตุไม่สบายให้นำส่งวัดอานันทกุฏีวิหาร” เขาได้อ่านก็ตกใจกลัวเข้ามาขอขมาลาโทษท่าน แล้วก็รีบนำส่งที่วัดเมืองโบกขรา แล้วคุณโอปกกาศชาวเนปาลที่รักชอบนับถือเหมือนพี่ชาย ท่านได้นำรถมาส่งที่กัฏมันฑุวัดอานันทกุฏีวิหารที่ท่านจำพรรษา

อาพาธ

พระครูบาฯ เป็นไข้บอบช้ำไปทั้งตัวได้พักรักษาตัวอยู่ในวัด เจ้าอาวาสก็ใจดีเอายามาทาให้ พระเณรทุกองค์สงสารและเห็นใจท่านมาก คืนวันหนึ่งตอนตีสอง ท่านได้ยินเสียงคนร้องไห้ตีกลองเป่าหอยสังข์ เมื่อได้เดินจงกรมแล้วก็ลงไปดูตามเสียงก็เห็นเขากำลังเผาศพกันที่ใกล้วัด จึงเข้าไปช่วยเก็บฟืนเผาศพเพราะเป็นลามะ (พระธิเบต) มรณภาพ เสร็จแล้วมาขอผิงไฟด้วย แต่พวกขี้เมาไม่พอใจก็เข้ามาตีต่อยปากเราแตกเลือดไหล ช่างเป็นคราวเคราะห์กรรมซัดจริงๆ ท่านล้มนอนหงายเขากระทืบซ้ำอีก พอดีท่านหลวงพ่อมหานามะ ได้ยินเสียงลงไปห้ามแล้วนำกลับมาวัด พระครูบาฯ เป็นไข้ทรุดลงเรื่อยๆ จนเจ้าอาวาสว่าหากจะตายจริงก็จะเผาเอากระดูกเก็บไว้ให้ญาติ แต่มาคิดได้จึงโทรกลับมาเมืองไทยบอกพ่อประดิษฐ์และหลวงปู่โง่นให้ไปรับกลับพร้อมคุณมนัส ทั้งสามคนจึงได้บินจากเมืองไทยไปรับกลับมา ในตอนนั้นท่านก็ยังเป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมองด้วยจนเพ้อไปไม่รู้สึกตัว

เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยก็ได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพร่วมเดือนเศษแล้วก็กลับมารักษาต่อที่วัดอีก แต่ไม่หายดีจึงได้ไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสวนดอกเชียงใหม่อีกสองเดือนจึงหายเป็นปกติ

ลำดับการจำพรรษาตอนเป็น สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง

พ.ศ. ๒๕๑๙
พรรษาที่ ๑ จำที่วัดบ้านด้ายธรรมประสิทธิ์ ตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน
พรรษาที่ ๒ จำที่วัดบ้านด้ายธรรมประสิทธิ์ ตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน
พรรษาที่ ๓ จำที่วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน
พรรษาที่ ๔ จำที่วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
พรรษาที่ ๕ จำที่วัดจอมแจ้งบ้านกวดขี้เหล็ก อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
พรรษาที่ ๖ จำที่วัดจอมแจงที่เดิม
พรรษาที่ ๗ จำที่วัดเมืองหนอมป่าหมากหน่อ บ้านห้วยน้ำราก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
พรรษาที่ ๘ จำที่วัดพระธาตุจอมศรีดับเภมุงเมือง วัดพระนอนเมืองพง พม่า
พรรษาที่ ๙ จำที่วัดพระธาตุจอมศรีดับเภมุงเมือง วัดพระนอนเมืองพง พม่า
พรรษาที่ ๑๐ จำที่วัดอนันทกุฏีวิหาร กรุกัฏมันฑุ ประเทศเนปาล รวมปีที่บรรพชาเป็นสามเณรทั้งหมด ๑๐ พรรษา

 

ลำดับการจำพรรษาหลังการอุปสมบท

พ.ศ. ๒๕๒๙ พรรษาที่ ๑ จำที่วัดพระธาตุจอมศรีดับเภมุงเมือง วัดพระนอน เมืองพง พม่า
พ.ศ. ๒๕๓๐ พรรษาที่ ๒ จำที่วัดพระธาตุดอนเรือง เมืองพง พม่า
พ.ศ. ๒๕๓๑ พรรษาที่ ๓ จำที่วัดพระธาตุดอนเรือง เมืองพง พม่า
พ.ศ. ๒๕๓๒ พรรษาที่ ๔ จำที่วัดพระธาตุดอนเรือง เมืองพง พม่า
พ.ศ. ๒๕๓๓ พรรษาที่ ๕ จำ ณ สวนพุทธอุทยาน ใกล้พระธาตุดอนเรือง
พ.ศ. ๒๕๓๔ พรรษาที่ ๖ จำ ณ ห้วยดอนเรือง ใกล้พระธาตุดอนเรือง
พ.ศ. ๒๕๓๕ พรรษาที่ ๗ จำ ณ ดอยป่าไม้เปา ใกล้พระธาตุดอนเรือง
พ.ศ. ๒๕๓๖ พรรษาที่ ๘ จำ ณ ถ้ำห้วยรัง บ้านมูเซอ จ่ากู่
พ.ศ. ๒๕๓๗ พรรษาที่ ๙ จำ ณ ถ้ำห้วยรัง บ้านมูเซอ จ่ากู่
พ.ศ. ๒๕๓๘ พรรษาที่ ๑๐ จำ ณ ถ้ำห้วยรัง บ้านมูเซอ จ่ากู่
พ.ศ. ๒๕๓๙ พรรษาที่ ๑๑ จำ ณ ถ้ำพระพุทธบาทผาช้าง ระหว่างเมืองแฮะ-เมืองขัน
พ.ศ. ๒๕๔๐ พรรษาที่ ๑๒ จำ ณ ถ้ำพระพุทธบาทผาช้าง ระหว่างเมืองแฮะ-เมืองขัน เขตหว้าแดง

พ.ศ. ๒๕๔๑ พรรษาที่ ๑๓ จำ ณ ถ้ำผาจุติง ประเทศภูฏาน
พ.ศ. ๒๕๔๒ พรรษาที่ ๑๔ จำ ณ ถ้ำพระพุทธบาทผาช้าง ระหว่างเมืองแฮะ-เมืองขัน เขตหว้าแดง
พ.ศ. ๒๕๔๓ พรรษาที่ ๑๕ จำ ณ ถ้ำน้ำตก เมืองแสนหวี สีป้อ ชายแดนพม่า กับประเทศจีน
พ.ศ. ๒๕๔๔ พรรษาที่ ๑๖ จำ ณ ถ้ำน้ำตก เมืองแสนหวี สีป้อ ชายแดนพม่า กับประเทศจีน
พ.ศ. ๒๕๔๕ พรรษาที่ ๑๗ จำ ณ ถ้ำผาจุติง ประเทศภูฏาน
พ.ศ. ๒๕๔๖ พรรษาที่ ๑๘ จำ ณ กองร้อยทหารตระเวณชายแดน เมืองปูนาคา
พ.ศ. ๒๕๔๗ พรรษาที่ ๑๙ จำ ณ กองร้อยทหารตระเวณชายแดน เมืองปูนาคา
พ.ศ. ๒๕๔๘ พรรษาที่ ๒๐ จำ ณ ถ้ำผาแดง บ้านล่อม ต.สันทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
รวมจำนวนพรรษาที่บวชเป็นพระภิกษุทั้งหมด ๒๐ พรรษา

ออกเดินทาง

ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ พระครูบาเจ้าเดินทางโดยรถยนต์ออกจากจังหวัดเชียงราย ทางจังหวัดท่าขี้เหล็กของสหภาพพม่าผ่านเชียงตุงไปจำพรรษา ณ ถ้ำน้ำตก เมืองแสนหวี สีป้อ ชายแดนสหภาพพม่ากับประเทศจีน ที่ถ้ำแห่งนี้จะมีน้ำตกไหลจากข้างบนถ้ำลงมาเพดานถ้ำและไหลลงหน้าถ้ำ ซึ่งพระครูบาเจ้าฯ ใช้เป็นที่สรงน้ำระหว่างจำพรรษา ณ ถ้ำแห่งนี้ ระยะทางจากเมืองมัณฑเลย์ของสหภาพพม่าไปยังถ้ำน้ำตกเป็นเขาลดเลี้ยวไปตลอดระยะทางหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ พระครูบาเจ้าเดินทางโดยเครื่องบินออกจากสนามบินจังหวัดท่าขี้เหล็กของสหภาพพม่าไปยังเมืองมัณฑเลย์แล้วต่อรถยนต์ เดินทางประมาณ ๑ วันครึ่ง ไปเมืองกูด ซึ่งอยู่เลยถ้ำน้ำตกไปอีก เป็นถ้ำอยู่ในหน้าผาสูงชันมาก พระครูบาเจ้าฯ ได้สร้างพระธาตุองค์ใหญ่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ชาวแสนหวี สีป้อไว้สักการะด้วย ในพรรษาที่ ๒ ที่เมืองแสนหวี – สีป้อ

ประเทศภูฏาน

 

ใน พ.ศ. ๒๕๔๕ พระครูบาเจ้าฯ เดินทางไปจำพรรษา ณ ถ้ำผาจุติง ประเทศภูฏาน ระยะทางไม่ไกลจากเมืองปูนาคา ซึ่งเป็นเมืองหลวงเดิมของประเทศภูฏาน เมื่อออกพรรษาแล้วพระครูบาเจ้าอาพาธมีไข้อยู่ตลอดมา จึงเดินทางกลับประเทศไทย

สองปีสุดท้ายของการจำพรรษาในต่างแดน พระครูบาเจ้าฯ เลือกที่จะกลับไปจำพรรษาที่ประเทศภูฏานอีก คือใน พ.ศ. ๒๕๔๖ และใน พ.ศ. ๒๕๔๗ พระครูบาเจ้าฯ เดินทางจากหมู่บ้านสุดเขตเมืองปูนาคา ไปจำพรรษา ณ สถานที่เดิมเคยเป็นสถานที่ราชการ คือ กองร้อยทหารตระเวนชายแดนซึ่งติดกับชายแดนทิเบตใช้เวลาเดินทาง ๔ วันเต็ม ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้สมเด็จอาของกษัตริย์ประเทศภูฏานได้บูรณะซ่อมแซมไว้และถวายให้เป็นที่จำพรรษาของพระครูบาเจ้าฯ สถานที่จำพรรษาแห่งนี้ในฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมสูงถึงเข่า อากาศหนาวเย็นมาก

ตลอดเวลาที่พระครูบาเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ในต่างแดนคณะศิษยานุศิษย์จะผลัดกันดูแล อุปัฏฐาก จากทั้งลูกศิษย์และศรัทธาที่อยู่ในพื้นที่และจากประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอ กระนั้นก็ดีจากส่วนลึกของจิตใจคณะศิษยานุศิษย์ก็ยังตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งพระครูบาเจ้าฯ คงเมตตากลับมาจำพรรษาในประเทศไทย

วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๘ สมเด็จพระราชินีภูฏานร่วมกับพระราชวงศ์จัดงานอายุวัฒนะมงคลถวายพระครูบาเจ้าฯ เพื่อเป็นมุทิตาจิตสักการะต่อวัตรปฏิบัติที่งดงามของพระครูบาเจ้าฯตลอดมา

กลับถึงประเทศไทย

พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร เดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๘ หลังจากนั้นท่านได้เมตตาให้โอกาสลูกศิษย์กราบเยี่ยมสักการะและพระครูบาเจ้าฯ ได้เดินทางต่างจังหวัดเพื่อสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตลอดจนเมตตาลูกศิษย์ตามสถานที่แห่งนั้นๆ รวมถึงลูกศิษย์ที่ประเทศไต้หวันด้วย ในช่วงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม – ๕ มิถุนายน ๒๕๔๘ พระครูบาเจ้าฯ ได้ไปยังเมืองเฉินตู ประเทศจีน และทิเบต เพื่อเยี่ยมชมสถานที่และพระพุทะรูปสำคัญๆ

ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ศิษยานุศิษย์ปลาบปลื้มในความเสียสละของพระครูบาเจ้าฯอย่างมาก เมื่อพระครูบาเจ้าฯเลือกจำพรรษา ณ ถ้ำผาแดง บ้านล่อม ต.สันทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพระครูบาเจ้าเห็นว่าสถานที่แห่งนี้เงียบสงบอละใกล้ๆถ้ำยังมีชาวเขาถึง ๖ หมู่บ้าน ที่พระครูบาเจ้าฯยังเมตตาได้ ในวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๘ คณะศิษยานุศิษย์ร่วมกันจัดงานแแกพรรษาถวาย ณ บริเวณหน้าถ้ำ มีการตั้งโรงทาน แจกเสื้อกันหนาว ผ้าห่ม อาหารแห้ง ตุ่มใส่น้ำตลอดจนปัจจัย ให้กับทุกครอบครัว และยังได้รับพรกันอย่างทั่วถึง

ลำดับครูบาอาจารย์โดยตรง ของ พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร

๑. หลวงปู่ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทราวตากผ้า จังหวัดลำพูน
๒. หลวงปู่ครูบาอินทจักร์ วัดวนาราม (น้ำบ่อหลวง) สันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
๓. หลวงปู่ครูบาชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน
๔. หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
๕. หลวงปู่ครูบาน้อย วัดบ้านปง แม่แตง
๖. หลวงปู่ครูบาคำแสน วัดดอนมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
๗. หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (มหาวีระ ถาวโร)
๘. หลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
๙. หลวงปู่ฤาษีธนะธัมโม วัดถ้ำผาแตก อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
๑๐. หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร
๑๑. หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา
๑๒. พระครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล วัดบ้านเด่นสะหรีศรีเมืองแกน เป็นพระสหธรรมิก
ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความดับทุกข์เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านได้ไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์แล้ว ส่วนมากไม่ได้มีโอกาสไปอยู่ด้วย

ครูบาอาจารย์ภาคอีสาน ที่ท่านได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์

 

๑. หลวงปู่นิล วัดครบุรี จ.นครราชสีมา
๒. หลวงปู่พุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา
๓. หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
๔. หลวงพ่อแสวง วัดถ้ำพระ จ.สกลนคร
๕. หลวงปู่คูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา

 

ขอบคุณข้อมูล https://www.matichon.co.th/

Related posts

Leave a Comment